มั่นใจในความต่อเนื่องทางธุรกิจและความสามารถในการกู้คืนระบบด้วย Commvault
Disaster Recovery Challenges
เมื่อระบบ(system) ของคุณประกอบไปด้วย workload ที่เพิ่มขึ้นและมีความหลายหลาก ไม่ว่าจะเป็น VMs, containers, applications, databases และ endpoints ทำให้ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนในการบริหารจัดการและปกป้องข้อมูล และเมื่อข้อมูล (Data) ได้กลายเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนทางธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เมื่อเกิดภัยพิบัติจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องคำนึงถึงความสามารถในการกู้คืนข้อมูลที่มีการจัดเก็บทั้งภายในองค์กรและภายนอกองค์กร ดังนั้นการเลือกใช้โซลูชัน DR (Disaster Recovery) ที่เหมาะสมจะช่วยให้องค์กรมีความมั่นใจในความปลอดภัย และสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงการหยุดชะงักของระบบที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล อีกทั้งยังต้องสามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและเป็นไปตามหลักปฏิบัติ Compliance (SLA: RTO/RPO) ที่กำหนดไว้อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ Commvault มีโซลูชันที่สามารถรองรับการทำโซลูชัน DR ได้ทุก environment ทั้ง On-prem, Could และ Hybrid & Multi-Cloud
Commvault Disaster Recovery
Commvault Disaster Recovery: ซอฟต์แวร์สำหรับการทำ DR โชลูชันที่มาพร้อมกับฟังก์ชัน DR ทำให้สามารถกู้คืนระบบได้อย่างง่ายดาย และมีความเป็น automatic มากยิ่งขึ้นเพียงไม่กี่ “Click” อีกทั้งยังมีกระบวนการทำ Copy data management ทำให้การสำเนาข้อมูล (replicate) ไปยัง DR ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล, ลดการใช้แบนด์วิธ (BW) และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล (storage) รวมทั้งยังสามารถใช้ในการเคลื่อนย้ายข้อมูล(Migration data) ไปยังแพลตฟอร์มอื่นได้อีกด้วย
ความสามารถของ Commvault DR นั้นถูกแบ่งออกเป็น 5 ส่วนหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่
1) Easy-to-implement disaster recovery orchestration
ความสามารถในการจัดการและกู้คืนข้อมูลได้อย่างง่ายดายผ่านหน้า Single management UI ด้วยฟังก์ชัน DR เช่น failover (Planned & Unplanned), failback, testing และ reverse protection เป็นต้น เพื่อลดความซับซ้อนในการกู้คืนระบบ รวมถึงสามารถใช้ฟังก์ชัน Replication Monitor ด้วยการกำหนด SLA (RPOs) ที่ต้องการเพื่อดู status การซิงค์ (sync) data replication ในรูปแบบของ dashboard report
2) Fast, flexible replication
สามารถทำสำเนาข้อมูล (replicated data) ทั้งในรูปแบบ Periodic และ Continuous replication รองรับประเภทของ workload ทั้ง VMs, Databases, File system และ Object Storage โดยสามารถกำหนดการ replicated data ไปยังหลายที่พร้อมกันได้ (One-to-many replication)
3) Cost-optimized cloud data mobility
ความสามารถในการทำ migration data ได้อย่างยืดหยุ่นระหว่าง environment ทั้ง On-prem, Cloud & Multi cloud เช่น การ replicate VM to Azure, AWS,GCP เป็นต้น และสามารถทำ VM replication ระหว่าง hypervisor (across-hypervisor) ได้แบบ Native-integration เช่น Vmware to Hyper-v , Hyper-v to Azure Stack HCI เป็นต้น
4) Resilient ransomware protection and security
เพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลด้วยการทำ end-to-end “Data encryption” ทั้งในรูปแบบ Data at rest และ Data in flight รวมทั้งมีโซลูชันการป้องกันแรนซัมแวร์ด้วยความสามารถในการตรวจจับความผิดปกติ (Anomaly detection) ด้วย ML , Ransomware protection on Media agent และ Air Gap technology เป็นต้น
5) Verifiable recovery via Copy Data Management
สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Data replication) ว่าสามารถนำไปใช้งานบน production ได้จริงด้วยกระบวนการทำ Copy Data Management ของ Commvault ที่เรียกว่า DASH Copy Replication ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการรับ-ส่งข้อมูลนั่นมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยผู้ดูแลระบบสามารถใช้ฟังก์ชัน “Testing Failover” เพื่อใช้ทดสอบการกู้คืนข้อมูล, ทดสอบการ upgrade ระบบ หรือใช้ในการให้ฝั่ง DevOps ใช้ในการทดสอบระบบได้
จะเห็นได้ว่า Commvault Disaster Recovery โซลูชันสามารถตอบโจทย์การกู้คืนข้อมูลจากภัยพิบัติได้อย่างครอบคลุมและยังมีโซลูชันสำหรับการทำ Data Migration ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความต่อเนื่องของธุรกิจและหลีกเลี่ยงการหยุดทำงานของระบบ และยังช่วยให้ผู้ดูแลระบบ IT ในองค์กรสามารถบริหารจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยังคงสามารถทำตาม Compliance ได้อย่างสมบูรณ์